2 วัตถุประสงค์ของหลักสูตร 4. 2. 1. เพื่อผลิตบัณฑิตทางนิติศาสตร์ที่มีความรอบรู้ในทางวิชาการและ ในทางวิชาชีพตลอดจนมีคุณธรรมและจริยธรรม และสามารที่จะเป็นผู้นำสังคม ในเรื่องของแนวคิดทางกฎหมายได้ 4. เพื่อให้เกิดงานวิจัยทางกฎหมายที่มีคุณภาพและสามารถที่จะนำไปใช้ในการ แก้ปัญหาในเรื่องต่างๆของท้องถิ่นและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. 3. เพื่อเป็นศูนย์กลางความรู้ทางกฎหมายให้กับท้องถิ่นและสังคม 4. 4. เพื่อมีส่วนร่วมกับชุมชน ท้องถิ่น และสังคมในการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบต่างๆให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนในฐานนะที่เป็น สมาชิกส่วนหนึ่งของสังคม 4. 5. เพื่อให้เป็นองค์กรที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกๆด้าน มีการบริหารงานที่โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ 5. คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษา เป็นผู้มีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อบังตับของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรี พ. ศ. 2546 และ 5. 1 ผู้เข้าศึกษาในหลักสูตรแผน 1 ต้องสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือสูง กว่า หรือเทียบเท่า 5. 2 ผู้เข้าศึกษาในหลักสูตรแผน 2 ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าในสาขาวิชาอื่น หรือเทียบเท่า 6.
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาเก่าแก่ของชาวอารยัน กำเนิดขึ้นที่ประเทศอินเดียก่อนศาสนาอื่นๆ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้สั่งสอนและประกอบพิธีกรรมจึงเรียกกันว่าเป็นศาสนาของพราหมณ์ หรือศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาประเภทเทวนิยมคือเคารพยอมรับเรื่องเทพเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด โดยเทพเจ้า 3 องค์ที่ชาวฮินดูให้ความเคารพสูงสุดอัน ได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ และ พระอิศวร หรือพระศิวะ ประวัติความเป็นมา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั้งสองศาสนามีวิวัฒนาการสืบต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นศาสนาเดียวกันโดยศาสนาพราหมณ์เกิดขึ้นก่อนประมาณ 1000 ปี ก่อน พ. ศ. ต่อมาความเชื่อได้เริ่มเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นศาสนาฮินดูในปัจจุบัน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่ไม่สามารถสืบค้นชื่อของศาสดาผู้ก่อตั้งหรือ เผยแผ่ศาสนาได้ เป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ แต่องค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพระพรหม และคัมภีร์หลักคำสอนที่สำคัญคือคัมภีร์พระเวท ศาสนาพราหมณ์เกิดจากความเชื่อดังเดิมของชนเผ่า อารยัน( Arayan) หรืออริยกะ เป็นชนเผ่าโบราณที่อพยพมาจากตอนกลางของทวีปเอเชียและเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ เมื่อประมาณ 1000 ปี ก่อน พ.
พิธีศราทธ์ ได้แก่ พิธีของผู้มีศรัทธาคือมีใจเชื่อมั่นเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่บิดา มารดา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วในเดือน 10 ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ ถึงวันแรม 15 ค่ำ การทำบุญอุทิศนั้น เรียกอีกอย่างว่า ทำบิณฑะ 4. บูชาเทวดา การทำพิธีบูชานี้ต่างกันไปตามวรรณะ ถ้าวรรณะสูงพอจะกำหนดลงได้ เช่น สวดมนต์ภาวนา อาบน้ำชำระกายและสังเวยคงคาทุกวัน พิธีสมโภชน์ถือศีลในวันศักดิ์สิทธิ์และไปนมัสการบำเพ็ญกุศลในเทวาลัย ถ้าวรรณะต่ำก็มีพิธีผิดแผกแตกต่างกันออกไป
พวกอารยันได้รับความเชื่อในการนับถือเทพเจ้าของชนพื้นเมืองผสมผสานกับวัฒนธรรมความเชื่อของตน จนเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์ในที่สุด พื้นฐานของศาสนาพราหมณ์เกิดจากลัทธิบูชาธรรมชาติ ในสมัยโบราณคนอินเดียนับถือเทพเจ้าประจำธรรมชาติต่างๆ เช่น เทพเจ้าแห่งไฟ ทะเล พระอาทิตย์ ฝน ท้องฟ้า ฯลฯ จึงเกิดลัทธิบูชาสรรเสริญ เพื่อให้เทพเจ้าพอใจและดลบันดาลให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าต่างๆ คือ พราหมณ์ จึงเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์ในที่สุด วิวัฒนาการของศาสนาพราหมณ์และฮินดู แบ่งได้เป็น 3 ยุค ได้แก่ สมัยพระเวท สมัยพราหมณ์ และสมัยฮินดู สมัยพระเวท ประมาณ 800-300 ปี ก่อน พ. ศ. เทพเจ้าของชาวอารยันมีหลายองค์ เช่น พระวายุ (เทพเจ้าแห่งลม) พระอัคคี(เทพเจ้าแห่งไฟ) พระวรุณ(เทพเจ้าแห่งฝน) และพระสุริย (เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์) เป็นต้น พวกพราหมณ์ได้รวบรวมบทสรรเสริญบูชาเทพเจ้าและการประกอบพิธีกรรมต่างๆไว้เป็นหมวดหมู่ จึงเกิดเป็นคัมภีร์พระเวทในที่สุด สมัยพราหมณ์ ประมาณ 300-100 ปี ก่อน พ. ศ.
700 ศาสนาพราหมณ์ได้วิวัฒนาการมาเป็นศาสนาฮินดูได้เกิดความคิดของกลุ่มลัทธิปรัชญาฮินดูหลายกลุ่มซึ่งคำสอนต่างๆ ล้วนมีอิทธิพลต่อชาวฮินดูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นิกาย 1. นิกายไวษณพ เชื่อในการอวตารของพระนารายณ์ว่า พระนารายณ์อวตาร 24 ครั้ง เพื่อช่วยมนุษย์โลกในคราวทุกข์เข็ญนิกายนี้เคารพบูชาพระรามพระกฤษณะรวมทั้งหณุมาน และพระพุทธเจ้าโดยอ้างว่าเป็นอวตารปางที่ 9 ของพระนารายณ์ นิกายนี้ไม่เน้นพิธีกรรมเรียกตนเองว่าศาสนาฮินดูเคารพบูชาเทพเจ้าต่างๆและถือคตินิยมสร้างเทวรูปไว้บูชาแบบพหุนิยม 2. นิกายไศวะ เชื่อในพระศิวะและมีความหวังว่าในอนาคตพระศิวะจะอวตารลงมาเป็นบุรุษชื่อลกุลิศะ เพื่อโปรดปรานมนุษย์และสอนมนุษย์ถึงวิธีเข้าถึงพระศิวะ นิกายนี้ประพฤติตนตามแบบลัทธิอัตตกิลมถานุโยค ใช้ขี้เถ้าทาตามร่างกายและทำเครื่องหมายที่หน้าผากด้วยขีด 3 ขีด เรียกสีหาสันทร์ คัมภีร์ คัมภีร์พระเวท มี 3 คัมภีร์ เรียกว่า "ไตรเวท" คือ 1. ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดสดุดีพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย บรรดาเทพเจ้าที่ปรากฎในฤคเวทสัมหิตามีจำนวน 33 องค์ ทั้ง 33 องค์ ได้จัดแบ่งตามลักษณะของที่อยู่เป็น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าที่อยู่ในอากาศ และเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์ มีจำนวนกลุ่มละ 11 องค์ 2.